ถ้าแพ้อาร์เซน่อลวุ่นแน่!สื่อแฉ 3 ประเด็นเกมรับลิเวอร์พูลน่ากังวล

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 19 พ.ย. 2564 12:29:13 น. เข้าชม 195 ครั้ง

จากที่เคยโชว์ฟอร์มได้ดี ปรากฏว่าในห้าเกมหลังของ พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล กำชัยได้แค่สองเกมเท่านั้น

     มันเกิดอะไรขึ้นกับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และมันจะเป็นวิกฤติย่อมๆที่กำลังก่อตัวในทีม หงส์แดง หรือเปล่า

     โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากวันเสาร์นี้ อาร์เซน่อล ทีมฟอร์มแรงที่ชนะรวดในสี่นัดหลังของทุกรายการบุกมาเก็บสามแต้มที่ แอนฟิลด์ ได้ มิเกล อาร์เตต้า ก็จะพาทีม ปืนใหญ่ แซงหน้าเจ้าบ้านบนอันดับตารางได้หนึ่งแต้ม

     และมันหมายความว่า ลิเวอร์พูล จะหลุดจากท๊อปโฟร์ลงมาอยู่ที่ห้าแทนซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยสำหรับทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เลยก็ว่าได้

     ถ้างั้น ปัญหาของ ลิเวอร์พูล อยู่ตรงไหนกันแน่

     จากการลงเล่นเก้านัดหลังทั้งใน พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ลีก ลิเวอร์พูล เสียประตูไปทั้งสิ้น 13 ลูก     ลางไม่ดีถูกเผยให้เห็นตั้งแต่เกมบุกไปเสมอกับ เบรนท์ฟอร์ด 3-3 โดยทีมของ คล็อปป์ ต้องแบ่งแต้มให้น้องใหม่ก่อนหมดเวลาแปดนาที

     และล่าสุดก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกเกมทีมชาติ เร้ด แมชีน ก็บุกไปเสียท่าให้ เวสต์แฮม ที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม 3-2
    
     จึงบอกได้เลยว่าหากไม่ได้พิษสงการถล่มประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้ในหลายๆนัด บางที ลิเวอร์พูล ก็ไม่น่าจะมีลุ้นคว้าความสำเร็จในเมื่อพวกเขาแก้ปัญหาเกมรับไม่ตก

     สำหรับซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล เสียประตูอย่างง่ายดายผิดไปจากซีซั่นก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด

     มันอาจไม่เกี่ยวอะไรกับแท็คติก และน่าจะเป็นความผิดพลาดเฉพาะบุคคลมากกว่าซึ่งเป็นเรื่องยากที่ คล็อปป์ จะแก้ไขได้โลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ เกมรับของ ลิเวอร์พูล ก็เช่นกันซึ่งนับวันจะล่อแหลมต่อการเก็บสามแต้มในแต่ละนัดมากขึ้นทุกที


 


- การขาดหายไปของ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม

     แม้หลายคนจะมองว่าการย้ายออกไปของมิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อ ลิเวอร์พูล แต่จากหลักฐานมันฟ้องให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กเลย

     นั่นเป็นเพราะว่าซีซั่นก่อน ไวจ์นัลดุม ได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ครบทุกนัดโดยเขาได้ลงสนามเป็นตัวจริง 34 นัด แถมพลาดไปแค่นัดเดียวเท่านั้น (เป็นตัวจริง35นัด) ในซีซั่น 2019/20 ที่  เร้ด แมชีน คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปครองได้

     ในฐานะมิดฟิลด์ด้านซ้าย ไวจ์นัลดุม เป็นเลิศในด้านการครองบอล และคุมจังหวะเกม อีกทั้งรักษาพื้นที่ได้ดี และเล่นได้อย่างขาวสะอาด ตลอดจนผ่านบอลได้เฉียบซึ่งช่วยทำให้ ลิเวอร์พูล ครองบอลได้เหนือกว่าคู่แข่งหลายขีดขั้น

     โดยเฉพาะหาก ลิเวอร์พูล ได้ประตูนำหน้าฝ่ายตรงข้ามไปก่อน การมีดาวเตะดัตช์อยู่ในทีมก็ช่วยเพิ่มความอุ่นใจได้ว่าพวกเขามีโอกาสกำชัยชนะแบบเห็นๆ
 
     แต่กับซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล เคยนำหน้า ไบรท์ตัน ไปก่อนถึงสองประตูที่ แอนฟิลด์ แต่สุดท้ายก็เก็บได้แค่แต้มเดียว และก่อนหน้านี้ในเกมต้อนรับ แมนฯ ซิตี้ หงส์แดง ก็ปิดเกมไม่ได้โดยถูก เรือใบสีฟ้า ตีเสมอ 2-2 ก่อนหมดเวลาเก้านาที

     เท่านั้นไม่พอ ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก บุกไปเยือน แอตเลติโก มาดริด ทีมจากอังกฤษนำหน้าเจ้าบ้านไปก่อนถึงสองประตู แต่ถูกทวงคืนอย่างไม่น่าเชื่อ ดีที่ว่ามาได้ ซาลาห์ เป็นฮีโร่พาทีมคว้าชัย 3-2 

     ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า คล็อปป์ จัดการกับการคุมจังหวะเกมไม่ได้หลังมีอันต้องขาดนักเตะระดับคุณภาพอย่าง ไวจ์นัลดุม

     และแม้จะเล่นเป็นกองกลาง แต่พ่อค้าแข้งชาวเมืองกังหันลมมีอิทธิพลในเกมรับของทีมเช่นกันเนื่องจากเขาจะคอยลงต่ำไปช่วยแผงหลัง

     ฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เคอร์ติส โจนส์ หรือ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ก็ไม่อาจอุดรูรั่วทางด้านซ้ายของแดนกลางที่ ไวจ์นัลดุม ทิ้งเอาไว้ได้

     ยิ่งไปกว่านั้น โจนส์ และ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน มักก่อความผิดพลาดในการคุมพื้นที่เช่นกัน และอ่านจังหวะเกมไม่ดีพอจนทำให้เล่นเกมรุกและรับผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นอยู่บ่อยๆ

     ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูล จึงเสียประตูให้กับ ปาโบล ฟอร์นัลส์ ในเกมบู๊กับ เวสต์แฮม รวมถึงสองประตูกับ นกนางนวล และประตูแรกของ เรือใบสีฟ้า ที่ แอนฟิลด์

     โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเล่นในระบบ 4-3-3 ก็ยิ่งเพิ่มความยากลำบากในการคุมพื้นที่ของแนวรับซึ่งทำให้ดาวเตะ หงส์แดง ต้องตื่นตัว และใช้พลังงานมากขึ้นหลังปราศจากนักเตะประสบการณ์สูงอย่าง ไวจ์นัลดุม
 
     อย่างในเกมกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งเห็นช่องโหว่ในจุดนี้ พวกเขาจึงสร้างโอกาสได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับนัดฟัดกับ ไบรท์ตัน ซึ่งไล่หลังมา 2-1 ร้อนจน คล็อปป์ ต้องปรับมาใช้หมาก 4-2-2 แทน

     "เราเปลี่ยนระบบในครึ่งหลัง เราไม่อาจป้องกันพื้นที่ทางด้านกว้างได้อีกต่อไป" นายใหญ่ชาวเยอรมันเอ่ย


 


 - ฟาน ไดค์ กับ อลิสซง ฟอร์มตก

     เหตุผลสำคัญประการที่สองในแนวรับของ ลิเวอร์พูล คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ด่วนกลับมาลงสนามเร็วเกินไปหลังมีปัญหาเอ็นไขว้หน้าเข่าฉีกขาด และมันส่งผลกระทบต่อสภาพความฟิตที่ยังไม่เต็มร้อย

     ดังจะเห็นว่าอดีตพ่อค้าแข้งทีม เซาธ์แฮมป์ตัน แลดูไม่ปราดเปรียวเหมือนก่อน และสปีดในเกมของเขาตกลงไปอย่างเห็นได้ชัด

     ที่แน่ๆก็คือการเสียประตูในเกมดวลกับ เบรนท์ฟอร์ด และ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ฟาน ไดค์ ยังต้องเรียกฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองกลับมาให้ได้

     จากที่มีสถิติตีแผ่ ระดับฟอร์มการเล่นของ ฟาน ไดค์ ตกลงไปจากซีซั่น 2019/20 อย่างน่าใจหาย

     การแย่งบอลกลับคืนมาของเขาตกจากตัวเลข 97 เหลือ 77 ขณะที่การดวลลูกกลางอากาศก็ตกจากตัวเลข 77 เหลือ 53 และที่สำคัญคุณภาพในการเล่นเกมรับของเขาตกลงแบบฮวบฮาบจาก 85 เหลือแค่ 8 เท่านั้น

     แน่นอนว่าฟอร์มที่ถดถอยของ ฟาน ไดค์ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ และมันยังลามไปถึงการก่อความผิดพลาดบ่อยครั้งมากขึ้นของ อลิสซง เบ็คเกอร์ ด้วย




 - จุดอ่อนลูกเซ็ตพีซ

     นายทวารทีมชาติบราซิลถูกกล่าวหาว่าก่อความผิดพลาดทั้งสามประตูที่เสียไปให้กับ เวสต์แฮม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการตั้งรับลูกเซ็ตพีซที่หละหลวมของทีม และจากสี่ประตูที่เสียไปทั้งหมด 13 ประตูนับตั้งแต่เกมปะทะกับ เบรนท์ฟอร์ด ก็ล้วนเกิดจากลูกเซ็ตพีซทั้งสิ้น

     เมื่อรวมทั้งสองประเด็นนี้เข้าด้วยกัน มันจึงเปิดโอกาสให้ทีมที่อ่อนกว่า และต้องเล่นเกมสวนกลับมีลุ้นทำประตูมากขึ้นเนื่องจากแผงแบ็คโฟร์ของ ลิเวอร์พูล ป้องกันลูกเซ็ตพีซได้ไม่ดีพอ

     เรียกว่าหาก ลิเวอร์พูล เปิดพื้นที่ หรือสูญเสียการครองบอลเมื่อไหร่ พวกเขาก็มีสิทธิ์เผชิญกับเรื่องที่เลวร้าย

     อย่างไรเสีย ข่าวดีที่ยังพอจะมีอยู่บ้างของแฟนบอล เดอะ ค็อป ก็คือพวกเขามีกุนซือที่ช่ำชองในด้านแท็คติกอย่าง คล็อปป์ ซึ่งสามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างที่เขาแสดงให้เห็นมาแล้วกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รวมถึง ลิเวอร์พูล ด้วยเช่นกัน

     ขณะเดียวกัน เร้ด แมชีน ก็รอแค่ให้ ฟาน ไดค์ กลับมาฟิตเต็มร้อยอีกครั้ง รวมทั้งการแก้ปัญหามิดฟิลด์ด้านซ้ายให้ลงตัว
 
     ขอแต่ว่ากองกลางขาประจำอย่าง ฟาบินโญ่ , จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ นาบี้ เกอิต้า อย่าขยันล้มเจ็บบ่อยก็แล้วกันเนื่องจาก โจนส์ กับ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้มากนัก
 
     ไม่เช่นนั้น สาวก หงส์แดง ก็จะต้องกัดเล็บลุ้นกันแบบหัวใจจะวายแทบทุกนัดอย่างแน่นอน