ครบ 100 วันพอดี!! เกิดอะไรขึ้นกับ บาร์เซโลน่า นับตั้งแต่ เมสซี่ อำลา

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 17 พ.ย. 2564 16:25:13 น. เข้าชม 209 ครั้ง

เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกินตอนนี้ก็ครบ 100 วันนับตั้งแต่ที่ ลิโอเนล เมสซี่ แถลงการณ์ทั้งน้ำตาที่ต้องแยกทางกับ บาร์เซโลน่า ซึ่งหลังจากนั้นสาวก "เจ้าบุญทุ่ม" ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลง และเรื่องราวบอบช้ำมากมาย  

     เมสซี่ ไม่ได้สวมชุด "เลือดหมูน้ำเงิน" ลงทำหน้าที่สร้างสรรค์เกมให้กับพวกเขาอีกต่อไป โดยเขาเลือกที่จะทิ้งช่วงเวลา 17 ปีที่เล่นให้กับทีมชุดใหญ่เอาไว้เบื้องหลัง เพื่อมูฟออนชีวิตการค้าแข้งใหม่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

    หลังจากไม่มี สตาร์ลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ ต้องบอกเลยว่ายักษ์ใหญ่แห่งแคว้นคาตาลันมีแต่ถอยหลังลงคลองโดยตลอดระยะเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่ที่ เมสซี่ อำลาสโมสร พวกเขาเจอแต่ปัญหามากมายทั้งในและนอกสนาม


 

บาร์ซ่า ต้องประสบกับภาวะหนี้สินพะรุงพะรังจนนำไปสู่โอกาสที่พวกเขาจะต้องเสียสตาร์ของทีมไปอีกหลายคนในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมนี้

    ขณะที่ผงงานในสนามก็ย่ำแย่พอๆ กัน โดยในเวลานี้ดูเหมือนว่าการลุ้นแชมป์ลา ลีกา ของทีมก็ค่อนข้างเลือนลาง ขณะที่ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังออกแนวลูกผีลูกคนเพราะต้องลุ้นตัวโก่งสำหรับ 2 สุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม 

    จากสถานการณ์ต่างๆ นำไปสู่การที่สโมสรต้องสั่งเด้ง โรนัลด์ คูมัน เมื่อเดือนที่ผ่านมา และจัดการแต่งตั้ง ชาบี เอร์นานเดซ ศิษย์เก่าเข้ามากอบกู้ทีมจากความย่ำแย่ในเวลานี้ ณ ตั้งแต่วันที่ เมสซี่ ลาจนกระทั่งปัจจุบันมีเหตุการณ์วุ่นวายมากมายทั้งในและนอกสนาม โดยเรื่องเด่นๆ มีอะไรบ้างลองไปพิจารณากันเลย 


ลุค เดอ ยอง แทนที่ กรีซมันน์

 


    หนึ่งในการย้ายทีมที่น่าผิดหวังที่สุดของสโมสรก็คือการที่ บาร์ซ่า ปล่อย อองตวน กรีซมันน์ กลับไปเล่นแบบยืมตัวกับ แอตเลติโก มาดริด และมีออปชั่นซื้อขาดด้วยสนนราคา 34.4 ล้านปอนด์ (ราว 1,513 ล้านบาท) 

    เพียงแค่สองปีที่สโมสรควักกระเป๋าซื้อ สตาร์ลูกหนังชาวฝรั่งเศส มาจาก "ตราหมี" ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 107 ล้านปอนด์ (ราว 4,708 ล้านบาท) และยังมอบค่าเหนื่อยให้กับนักเตะถึง 500,000 ปอนด์ (ราว 22 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ แต่ผลงานของเขาไม่ได้คุ้มค่าเลย

    อย่างไรก็ตามการที่ บาร์เซโลน่า ส่ง กรีซมันน์ กลับไปเล่นกับ แอต.มาดริด พร้อมออปชั่นซื้อขาดในราคาแค่นั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องขาดทุนไปกว่า 73 ล้านปอนด์ (ราว  3,212 ล้านบาท) 

     กระนั้นที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าก็คือ สโมสรดังหากคนมาแทนที่ กรีซมันน์  ด้วยการดึงตัวกองหน้าวัย 30 ปีอย่าง ลุค เดอ ยอง ที่ไม่ได้มีผลงานน่าสนใจอะไรเลยมาเสริมทัพ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอนาถเหลือเกิน 
 

ปรับลดเพดานค่าเหนื่อย 

 

 หลังจากที่ ลา ลีกา มีการคำนวณข้อจำกัดเรื่องการใช้จ่ายแล้ว บาร์เซโลน่า จำเป็นต้องมีการปรับลดเพดานค่าเหนื่อยจาก 245 ล้านปอนด์ (ราว 10,780 ล้านบาท) เหลือเพียงแค่ 85 ล้านปอนด์ (ราว 3,740 ล้านบาท) 

    ความล้มเหลวในการยื้อ เมสซี่ ให้อยู่กับทีมกลายเป็นข้อสงสัยขึ้นมาแม้สโมสรจะขาดทุน 400 ล้านปอนด์ (ราว 17,600 ล้านบาท) เพื่อสร้างหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านปอนด์ (ราว 44,000 ล้านบาท)

    สำหรับในปัจจุบัน ยักษ์ใหญ่แห่งถิ่นคัมป์ นู มีงบประมาณในการเสริมทัพน้อยกว่า เซบีย่า, แอต.มาดริด, บียาร์เรอัล, เรอัล โซเซียดาด และ แอธเลติก บิลเบา โดยพวกเขามีงบเพียง 18 ล้านปอนด์ (ราว 792 ล้านบาท) ซึ่งมากกว่า เอสปันญ่อล ทีมบ้านพี่เมืองน้องที่ใช้จ่ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ตอนเล่นในลีกา 2 

    จริงๆ แล้วหากจะเปรียบเทียบแบบโหดๆ ตอนนี้งบประมาณของ บาร์เซโลน่า ยังน้อยกว่าของ "แตนอาละวาด" วัตฟอร์ด ด้วยซ้ำ 


หนี้สิน 1.15 พันล้านปอนด์

 


    ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรได้เปิดเผยว่า บาร์ซ่า เกิดวิกฤติการณ์เงินอย่างหนักโดยพวกเขามีหนี้สินสูงท่วมหัวถึง 1.15 พันล้านปอนด์ (ราว  50,600 ล้านบาท) 

     บิ๊กบอส "เจ้าบุญทุ่ม" ได้อธิบายถึงเหตุผลว่าเขาจะต้องทำยังไงในการแก้ไขปัญหาสำคัญนี้ โดยวิธีการก็คือการยืมเงินโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) จำนวน 68 ล้านปอนด์ (ราว 2,992 ล้านบาท) เพื่อจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะ

    นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ ยังได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการหนี้ และบางส่วนจะรีไฟแนนซ์ พร้อมกับการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของยอดทีมแห่งถิ่นคัมป์ นู 

    หลังจากปรับโครงสร้างหนี้สินของสโมสรจำนวน 475 ล้านปอนด์ (ราว 20,900 ล้านบาท) ทำให้สโมสรมีหนี้สินโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.15 พันล้านปอนด์แล้ว โดยทาง ลาปอร์ต้า ได้ชี้แจงว่า 103 เปอร์เซ็นต์ของรายได้สโมสร จะต้องถูกนำไปจ่ายค่าเหนื่อยให้กับนักเตะในทีม ซึ่งสูงถึง 524 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

 

โรนัลด์ คูมัน โดนเฉดหัว

 

 หลังจากเริ่มต้นฤดูกาลที่ฟอร์มที่น่าอนาถเหลือเกิน โรนัลด์ คูมัน เทรนเนอร์ชาวดัตช์ ก็ต้องยุติบทบาทนายหัวแห่งถิ่นคัมป์ นู เซ่นผลงานที่นำสโมสรหล่นไปอยู่อันดับ 9 ในตารางลีกแดนกระทิงดุ 

    การทำแบบนั้นยิ่งทำให้ บาร์ซ่า ต้องเจอวิกฤติด้านการเงินสะสมเข้าไปอีก เพราะพวกเขาจะต้องยอมจ่ายค่าชดเชยจำนวน 10 ล้านปอนด์ (ราว 440 ล้านบาท) เพื่อเป็นการชดเชยที่ยื่นซองขาวให้ คูมัน

    สำหรับตอนนี้ทีมได้ตำนานอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ เข้ามากอบกู้วิกฤติ โดยเขากลับมาในฐานะกุนซือ แต่จะช่วยสโมสรได้มากแค่นั้น เนื่องจากในเวลานี้ต้นสังกัดมีคะแนนห่างจาก เรอัล โซเรียดาด จ่าฝูง 11 คะแนนเลยทีเดียว 
 

เซร์คิโอ อเกวโร่ มีปัญหาด้านหัวใจ

 


    อเกวโร่ ย้ายจาก "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาเล่นให้ บาร์เซโลน่า แบบไม่มีค่าตัวในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่เขาได้ลงสนามแค่ 5 แมตช์เท่านั้นหลังเกิดปัญหาด้านสุขภาพ

    หัวหอกวัย 33 ปีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจเช็กหัวใจอย่างละเอียด หลังจากที่ล้มลงพร้อมเอามือไปกุมหน้าอกเนื่องจากมีอาการหน้ามืดระหว่างเกมที่เสมอ อลาเบส 1-1 เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และสุดท้ายต้องถูกเปลี่ยนตัวออกทั้งๆ ที่ลงเล่นไปแค่ 41 นาทีเท่านั้น

    ปัจจุบัน กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ ต้องพักฟื้นร่างกายอย่างน้อย 3 เดือน ส่วนเรื่องอนาคตการค้าแข้งบรรดาแพทย์แนะนำให้เจ้าตัวแขวนสตั๊ดเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แต่ดูเหมือน "กุน" ยังอยากจะลองเสี่ยงอีกครั้ง 
 

ชนะแค่ 6 เกมจาก 16 แมตช์หลังสุด

    หลังจากผ่านไป 12 เกม บาร์เซโลน่า มีแค่ 17 คะแนนเท่านั้นโดยชนะแค่ 4 เกม, เสมอ 5 แมตช์ และแพ้ 3 เกม ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังมากๆ จากผลงานของสโมสรที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจลูกหนังแดนกระทิงดุ

    พวกเขาคว้าชัยชนะ 2 เกมในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก  และแพ้อีกสองแมตช์ รวมถึงการแพ้ยับ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค และ เบนฟิก้า สกอร์ 3-0 ทั้งสองแมตช์

     ก่อนที่จะโดนไล่ออก นายใหญ่ร่างบึ้กจากดินแดนกังหันลม นำ บาร์เซโลน่า เก็บแต้มได้น้อยที่สุดต่อเกมนับตั้งแต่ปี 2003 ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจหรอกที่ คูมัน จะกลายเป็นคนว่างงานในเวลานี้ 
 

แพ้ศึกเอล กลาซิโก้

 

  จะว่าไปแล้ว คูมัน อาจจะมีโชคดีในการได้กุมบังเหียน บาร์เซโลน่า ต่อไปในเดือนตุลาคมหากเขาสามารถนำสโมสรคว้าชัยชนะในศึก "เอล กลาซิโก้" เกมปะทะ เรอัล มาดริด

    อย่างไรก็ตามโชคไม่ยอมแวะเข้าหา คูมัน เพราะท้ายที่สุด บาร์ซ่า โดนทีเด็ดจาก ดาวิด อลาบา และ ลูกัส วาสเกซ ที่ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย นั่นจึงกลายเป็นฟางเส้นสำคัญที่ทำให้ คูมัน ต้องโดนปลด

     สำหรับเรื่องดีแค่เรื่องเดียวจากการที่แมตช์ดังกล่าวมีการทดเวลาบาดเจ็บนานถึง 7 นาทีก็คือพวกเขามีเวลาที่จะยิงประตู และก็ทำได้สำเร็จจาก อเกวโร่ ซึ่งเป็นประตูแรกของเขาในสีเสื้อ "เลือดหมูน้ำเงิน" และทำให้ทีมแพ้แค่ 1-2 เท่านั้น 
 

โอกาสลุ้นแชมป์ ลา ลีกา เลือนลาง

 


    ในเดือนมีนาคม 2004 เรอัล มาดริด ยึดจ่าฝูงลา ลีกา พร้อมมีคะแนนทิ้งห่างคู่แข่ง 12 คะแนน แต่การแพ้ 7 แมตช์จาก 8 เกมหลังสุดทำให้ "ราชันชุดขาว" จบที่อันดับ 4 ส่วน บาเลนเซีย พลิกสถานการณ์คว้าแชมป์ได้อย่างเหลือเชื่อ

     ส่วนตอนนี้ บาร์เซโลน่า ตามหลังจ่าฝูงอย่าง เรอัล โซเซียดาด  11 แต้ม แต่ศักยภาพของทีมในเวลานี้มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ทีมจะสามารถเร่งเครื่องมุ่งสู้เส้นชัยในลีกแดนกระทิงดุ

    ฉะนั้นแทนที่จะหมกมุ่นกับการพยายามลุ้นแชมป์ลีก สิ่งที่ ชาบี น่าจะต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ก็คือการนำ บาร์ซ่า จบอันดับท็อปโฟร์เพื่อคว้าตั๋วไปเล่นถ้วยใบโตยุโรปซีซั่นหน้าดีกว่า 
 

สถานการณ์รอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ ลีก น่าเป็นห่วง

 

   บาร์ซ่า เก็บชัยชนะ 2 เกมหลังสุดในการชิงแชมป์โทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" รอบแบ่งกลุ่ม โดยเป็นการชนะ ดินาโม เคียฟ ด้วยสกอร์ 1-0 ทั้งสองแมตช์ และมันยังไม่ได้ทำให้พวกเขารอดพ้นจากสถานการณ์กดดัน

    อย่างที่บอกเอาไว้สองแมตช์แรก บาร์ซ่า เล่นได้อย่างย่ำแย่โดยพวกเขาแพ้ บาเยิร์น มิวนิค 0-3 ตามด้วยพ่าย เบนฟิก้า 0-3 ส่งผลให้ทีมต้องตะเกียกตะกายอย่างหนักในการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์

    ฉะนั้น 2 แมตช์ที่เหลืออยู่ในการรับมือ เบนฟิก้า และเยือน บาเยิร์น มิวนิค พวกเขาจะต้องเอาชนะให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นโอกาสที่จะต้องโบกมือลาเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก เลยทีเดียว 
 

ขาดแฟนบอลเข้ามาเชียร์

 

  การที่ เมสซี่ โบกมือลาสโมสร ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของแฟนบอบ "เจ้าบุญทุ่ม" อย่างมาก และนำไปสู่การถือป้ายประท้วงยกใหญ่ภายนอกสนามเหย้าของพวกเขา 

     ยิ่งไปกว่านั้นการที่ทีมได้สูญเสียฮีโร่ของสโมสรไป ทำให้แฟนบอลตัดสินใจไม่เข้าไปชมเกมในสนาม โดยในแมตช์ล่าสุดที่เสมอ อลาเบส มีกองเชียร์ที่เข้าไปในคัมป์ นู เพียงแค่ 37,278 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในรอบกว่า 20 ปี 

     ย้อนไปเมื่อเดือนสิงหาคม สโมสรไม่สามารถขายตั๋วเข้าชมเกมในคัมป์ นู ในแมตช์พบ บาเลนเซีย ไม่ถึงครึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าผิดหวังสำหรับ บาร์เซโลน่า เลยทีเดียว

     จะว่าไปแล้วการขาดหายไปของจำนวนนักท่องเที่ยวในเมืองไม่มีข้อสงสัยที่เกิดสถานการณ์นี้ แต่การที่คัมป์ นู มีแฟนบอลไม่ถึงครึ่งเกือบทุกแมตช์ ถือเป็นภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ของทีม และยังขาดรายได้เนื่องจากขายตั๋วไม่ได้ด้วย