ลิเวอร์พูลหยุดไร้พ่าย, เวสต์แฮมจะไป ชปล.! 5 ประเด็นสำคัญเกมค้อนทุบหงส์

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 8 พ.ย. 2564 16:59:19 น. เข้าชม 138 ครั้ง

ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็หยุดสถิติไร้พ่ายเอาไว้ที่ 25 นัดจากการบุกมาพ่ายต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-2 ที่สังเวียนแข้ง ลอนดอน สเตเดี้ยม

     ขณะเดียวกัน มันก็เป็นความปราชัยของ เร้ด แมชีน นัดแรกในลีกซีซั่นนี้เช่นกันโดยเริ่มจาก อลิสซง เบ็คเกอร์ ก่อความผิดพลาดปัดบอลหลุดเข้าประตูตัวเองให้เจ้าบ้านนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 4

     แม้ก่อนจบครึ่งแรกไม่นาน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ จะโชว์ความร้ายกาจซัดลูกฟรีคิกตุงตาข่ายอย่างสุดสวย แต่ถึงกลางครึ่งหลัง ปาโบล ฟอร์นัลส์ ก็หลุดไปเข่นให้ เดอะ แฮมเมอร์ส นำหน้าอีกหน 2-1เท่านั้นไม่พอ คูร์ต ซูม่า ยังมาโขกลูกเตะมุมให้ทีมของ เดวิด มอยส์ หนีไปอีก 3-2 ก่อนที่ ดิว็อค โอริกี้ ตัวสำรองของทีมเยือนจะกลับตัวยิงจาก 18 หลาให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ลุ้นก่อนหมดเวลาเจ็ดนาที แต่สุดท้าย เร้ด แมชีน ก็มีอันต้องพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 3-2

     และนี่คือ 5 ประเด็นที่สมควรพูดถึงในเกมที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม

1.เวสต์แฮม แซงหน้า ลิเวอร์พูล ผงาดขึ้นอันดับสาม

     แม้จะต้องต้อนรับทีมอันตรายอย่าง ลิเวอร์พูล แต่ในที่สุด เวสต์แฮม ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าผลงานในซีซั่นนี้ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คแต่อย่างใด

      หลังต่อกรกับ ลิเวอร์พูล ครบ 90 นาที ทีมลูกหนังของลอนดอนเป็นฝ่ายเก็บสามแต้มไปครองได้จากการเล่นที่สมบูรณ์แบบในทุกพื้นที่ของสนามเริ่มจากการได้ประตูขึ้นนำก่อนซึ่งกดดันผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดีและเมื่อต้องตั้งเกมรับ ทีมของกุนซือเลือดวิสกี้ก็ช่วยกันสร้างป้อมปราการได้อย่างรัดกุม ไม่เปิดโอกาสให้ หงส์แดง ได้อาศัยเกมรุกที่จัดจ้านสร้างปัญหาให้กับพวกเขาได้เหมือนที่หลายทีมต้องตกเป็นเหยื่อของยักษ์ใหญ่จากเมอร์ซีย์ไซด์


 

  ยิ่งไปกว่านั้น เดอะ แฮมเมอร์ส ยังจัดการกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ วายร้ายล่าตาข่ายของอาคันตุกะได้อย่างสัมฤทธิ์ผลด้วย และเป็นเกมที่สามติดต่อกันแล้วที่สตาร์ทีมชาติอียิปต์ไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ด

     รวมแล้วมันจึงเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ไม่มีประสิทธิภาพในเกมรุกเหมือนเคย และส่งผลเสียอย่างมหันต์เนื่องจากพวกเขาถูก เวสต์แฮม แซงหน้าขึ้นสู่อันดับสามโดยทีมของ มอยส์ ขยับหนี เร้ด แมชีน ได้หนึ่งแต้ม และมีแต้มเท่ากับ แมนฯ ซิตี้ ทีมรองจ่าฝูง

     จากผลงานอันยอดเยี่ยมของ เวสต์แฮม มอยส์ จึงประกาศกร้าวออกมาแล้วว่าซีซั่นนี้จะขอพาทีมคว้าอันดับท๊อปโฟร์ให้ได้ หลังจากซีซั่นก่อน เดอะ แฮมเมอร์ส พลาดโอกาสร่วมบู๊ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก อย่างน่าเสียดาย

2. อลิสซง เบ็คเกอร์ รับมือกับลูกเซ็ตพีซไม่ดีพอ

     แม้จะเป็นนายทวารชั้นยอด แต่ยังไง อลิสซง เบ็คเกอร์ ก็ต้องมีวันที่แย่บ้างเป็นธรรมดา

     ไล่ตั้งแต่จังหวะเล่นหละหลวมจนเสียประตูให้ ขุนค้อน ตั้งแต่หัววัน และนับจากนั้นเขาก็ไม่อาจคุมพื้นที่หน้าปากประตูได้ดีพอเมื่อต้องเสียลูกเตะมุมให้กับทีมเจ้าบ้าน


 

จนในที่สุด มือกาวทีมชาติบราซิลก็มาเสียประตูที่สามจากลูกคอนเนอร์ให้กับ คูร์ต ซูม่า หลังถูก ปาโบล ฟอร์นัลส์ หลุดเดี่ยวมาซัดเม็ดสองให้ เวสต์แฮม ซึ่งแม้เจ้าตัวจะปัดได้ แต่บอลก็ทะลักตุงตาข่ายอยู่ดี

     ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็น อลิสซง เบ็คเกอร์ เดินไปเก็บบอลที่ซุกอยู่ก้นตาข่ายในเกมเดียวสามหนซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยเลยกับนายทวารชั้นยอดอย่างเขา

 

 

3. เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ โชว์ชั้นเชิงอีกครั้ง

     ยังคงโชว์ทีเด็ดได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายสำหรับแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษซึ่งมีส่วนกับการทำประตูของต้นสังกัดอย่างถี่ยิบ

     นอกจากจะขึ้นชื่อว่าเป็นกองหลังจอมแอสซิสต์แล้ว อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ยังปั่นฟรีคิกได้อย่างฉมังเช่นกัน และเจ้าตัวทำได้อย่างน่าฮือฮาอีกครั้งเมื่อบรรจงซัดลูกที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เขี่ยเปลี่ยนจุดให้ปะะทตาข่ายชนิดที่ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ไม่ต้องเซฟ

  

 ถึงขณะนี้ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ จึงไม่ได้เป็นแค่ฟูลแบ็คระดับธรรมดาแล้ว หากแต่เขาทะยานขึ้นเป็นสุดยอดกองหลังระดับท๊อปของวงการได้อย่างเต็มตัว

     และจากลูกฟรีคิกในเกมพ่าย เวสต์แฮม มันกลายเป็นประตูที่ 45 ใน พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล แล้วที่แบ็คขวาทีมชาติอังกฤษมีส่วนเกี่ยวข้อง (9 ประตู 36 แอสซิสต์) อันเป็นสถิติสูงที่สุดในลีกเทียบเท่ากับกองหลังของสโมสรซึ่งถือครองโดย ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ (21 ประตู 24 แอสซิสต์)

 

 

4. มิคาอิล อันโตนิโอ ตัวอันตรายของ เวสต์แฮม
 
     ไม่น่าจะเป็นการกล่าวชมกันมากเกินไปหากจะบอกว่าการมี อันโตนิโอ อยู่ในทีมคนเดียวเปรียบได้กับการมีนักเตะอยู่ในทีมเพิ่มไปอีกคน

     นอกจากจะเล่นได้สารพัดตำแหน่งแล้ว กองหน้าผิวสียังเป็นฝันร้ายที่แท้จริงของกองหลังฝ่ายตรงข้ามอีกด้วยจากสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง และการวิ่งตะบึงที่สร้างปัญหาให้กับบรรดากองหลังอย่างหนัก


 

ไม่เพียงเท่านั้น อันโตนิโอ ซึ่งสามารถลุยเดี่ยว และยืนค้ำในแดนหน้าอยู่คนเดียวได้อย่างสบายยังมีพิษสงในจังหวะจบสกอร์ด้วยเช่นกัน

     ถ้าไม่เชื่อ ลองไปถามยอดกองหลังอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ดูได้เลยว่าหืดจับขนาดไหนในจังหวะที่ต้องวิ่งไล่ประกบสตาร์ทีม เดอะ แฮมเมอร์ส

 

 

5.เครื่องจักรสีแดงหยุดสถิติไร้พ่าย

     ในที่สุด สถิติก็มีวันต้องถูกทำลายลงจนได้

     แต่จะว่าไป ก่อนบุกมาฟาดเกือกกับ เวสต์แฮม ลิเวอร์พูล ได้รับความช่วยเหลือจาก เบิร์นลีย์ ที่บุกไปเสมอกับ เชลซี 1-1 เมื่อวันเสาร์แล้ว และหากกำชัยเหนือ ขุนค้อน ได้ ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็จะหายใจรดต้นคอทีมจ่าฝูงทันที


 

 อย่างไรก็ดี เร้ด แมชีน กลับต้องสะดุดในลีกต่ออีกเกม แต่หนักกว่านัดเสมอกับ ไบรท์ตัน 2-2 ที่ แอนฟิลด์ เนื่องจากพวกเขาพ่ายให้กับ เวสต์แฮม 3-2 จนต้องหยุดสถิติไม่แพ้ใครในทุกรายการเอาไว้ที่ 25 นัด (ชนะ 18 เสมอ7)

     ต่อผลงานดังกล่าวถือเป็นสถิติเทียบเท่าของสโมสรด้วยนับตั้งแต่ที่ หงส์แดง เข้าร่วมบู๊ในฟุตบอลลีกเมื่อปี 1893 (เทียบเท่าสถิติของสโมสรภายใต้การคุมทีมของ บ๊อบ เพสลีย์ ซึ่งทำได้นับจากเดือนมี.ค.-ก.ย.1982)

     สำหรับซีซั่นนี้ หงส์แดง พังประตูในลีกไปแล้ว 31 ลูก เป็นรองซีซั่น 1978/79 ครั้งเดียวเท่านั้นเนื่องจากสโมสรสอยตาข่ายได้มากกว่ารวม 33 ลูกจากการลงเล่น 10 นัดแรกของซีซั่น