5 สิ่งที่เจ้าของใหม่จากซาอุดิอาระเบียต้องทำหลังเทคโอเวอร์นิวคาสเซิ่ล สำเร็จ

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 9 ต.ค. 2564 23:02:19 น. เข้าชม 187 ครั้ง

สำหรับตอนนี้ต้องบอกว่าไม่มีข่าวไหนฮือฮาเท่ากับการที่ ซาอุดิอาระเบีย พับบลิค อินเวสต์เมนต์ ฟันด์ กลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบีย (พีไอเอฟ) จัดการ เทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สโมสรดังแห่งศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จเรียบร้อยซะที

กลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบีย ที่มี โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศ เคยพยายามเทคโอเวอร์ "เดอะ แม็กพายส์" ด้วยราคา 300 ล้านปอนด์ (ราว 13,863 ล้านบาท) มาก่อนแล้วเมื่อปี 2019 แถม ไมค์ แอชลี่ย์ เจ้าของสังเวียนแข้งแห่ง เซนต์ เจมส์พาร์ค ยอมตกลงขายทีมให้ด้วย

 อย่างไรก็ตามดีลยักษ์ก็พังครืนลงไปเนื่องจาก ซาอุดิอาระเบีย มีปัญหาพิพาทกับ บีอิน สปอร์ต กรณีดูดสัญญาณการถ่ายทอดสดฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ไปแพร่ภาพในประเทศอย่างไม่ถูกลิขสิทธิ์

 

 กระนั้นราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ยังมีความพยายามที่จะเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในภาคอีสานของอังกฤษให้ได้ และเมื่อพวกเขาได้รับไฟเขียวจาก พรีเมียร์ลีก ให้เดินเรื่องได้แล้วหลังจบปัญหากับ บีอิน สปอร์ต ได้อย่างลุล่วง ในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย และเป็นการสิ้นสุด 14 ปีที่ แอชลี่ย์ ครอบครอง นิวคาสเซิ่ล  การที่ นิวคาสเซิ่ล ได้กลุ่มทุนจากดินแดนเศรษฐีน้ำมันเข้ามาเป็นเจ้าของทำให้ตอนนี้พวกเขากลายสภาพจากทีมสามัญชนเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในลีกเมืองผู้ดี ด้วยทรัพย์สินมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านปอนด์ (ประมาณ 14.72 ล้านล้านบาท) เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ครองตำแหน่งทีมที่ร่ำรวยที่สุดในลีกไปเรียบร้อยแล้ว

 แน่นอนว่าการเปลี่ยนเจ้าของใหม่คงจะมีการปรับเปลี่ยนสโมสรแบบยกเค้าเพื่อทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นยอดทีมในอังกฤษ รวมไปถึงการก้าวไปครอบครองความยิ่งใหญ่ในเวทีลูกหนังยุโรปในอนาคตด้วย
 
- ควานหากุนซือบิ๊กเนม

 

 สตีฟ บรูซ น่าจะรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าเขาคือเป้าหมายแรกในการเปลี่ยนแปลงของสโมสร หลังจากที่ ไมค์ แอชลี่ย์ เตรียมโบกมือลาถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค เพื่อหลีกทางให้กับเจ้าของใหม่ระดับอภิมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลาง

  แฟนบอล "สาลิกาดง" ไม่ได้ชื่นชอบการทำงานของ บรูซ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และอยากให้สโมสรเฉดหัวเขาออกไปตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ฉะนั้นเจ้าตัวคงรู้ชะตากรรมว่าเตรียมหางานใหม่ได้เลยเมื่อกลุ่มทุนเศรษฐีน้ำมันเข้ามาคุมสโมสรอย่างเป็นทางการ

 ก่อนหน้านี้ชื่อของ เอ็ดดี้ ฮาว กับ คริส ไวล์เดอร์ มีโอกาสที่จะได้เข้ามาแทนที่ บรูซ แต่จากการที่ปัจจุบัน นิวคาสเซิ่ล มีเจ้าของใหม่ที่ความร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของโลก งานนี้พวกกุนซือเกรดปานกลางคงไม่อยู่ในสายตา และพวกเขาเล็งโค้ชระดับบิ๊กเนมอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ หรือ ซีเนดีน ซีดาน เข้ามานั่งเก้าอี้นายใหญ่มากกว่า 

 อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือ "สาลิกาดง" ต้องรีบหากุนซือคนใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อฉุดพวกเขาขึ้นจากอันดับ 19 ในตารางลีก และยิ่งถ้าหากได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ก่อนช่วงเดือนมกราคมซึ่งเป็นช่วงตลาดนักเตะเปิดรอบ 2 งานนี้คงจะได้เห็นอะไรเด็ดๆ เข้ามาอยู่ในกองทัพ "ทูน อาร์มี่" แน่นอน
 
- เริ่มการยกเครื่องขุมกำลังเดือนมกราคม

  

 อย่างที่เกริ่นเอาไว้ในตอนต้นว่า นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จำเป็นที่จะต้องยกเครื่องขุมกำลังแบบยกชุดเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีม และในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะฤดูหนาว ที่จะเปิดฉากในวันแรกของปี 2022 ถือเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการเริ่มต้นทำสิ่งนี้

   เดอะ การ์เดี้ยน สื่อดังในอังกฤษเพิ่งรายงานแบบสุดๆ ร้อนๆว่าเจ้าของใหม่จะอนุมัติเงินให้ทีมนำไปช็อปปิ้งเป็นจำนวน 150 ล้านปอนด์ (ราว 6,931 ล้านบาท) ในรอบ 12 เดือนข้างหน้าโดยจะเริ่มจากตลาดนักเตะหน้าหนาวในเดือนม.ค.นี้เลยเพื่อพาทีมขยับหนีจากพื้นที่สีแดงก่อนเป็นอันดับแรก

 งานนี้บรรดานักเตะระดับหัวกะทิเตรียมตัวได้รับเทียบเชิญจาก นิวคาสเซิ่ล ได้เลย โดยเฉพาะแข้งอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ยังไม่สามารถตกลงสัญญาใหม่กับ ลิเวอร์พูล และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ซึ่งสัญญาปัจจุบันจะหมดลงหลังจบฤดูกาลนี้ 

 แน่นอนว่าในช่วงเดือนม.ค.พวกเขาอาจจะยกเครื่องขุมกำลังได้ไม่เต็มที แต่ในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้ สาวก "ทูน อาร์มี่" คงจะได้เห็นการเสริมทัพทั้งในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก, กองกลาง และกองหน้า แบบเต็มอัตราศึก

 ลองนึกภาพถ้าหากวันนี้ ลิโอเนล เมสซี่ ยังไม่เลือกไปเล่นกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่หวนกลับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความเป็นไปได้สูงมากที่ทั้งสองคนอาจได้เป็นสมาชิกใหม่ของ นิวคาสเซิ่ล 

- เก็บ  แซงต์-มักซิแม็ง สานต่อความสำเร็จ

  

 แม้ว่า นิวคาสเซิ่ล จะมีแผนการยกเครื่องขุมกำลังก็ตามแต่ก็มีนักเตะบางคนที่พวกเขาจำเป็นต้องเก็บรักษาเอาไว้ โดยเฉพาะ อัลล็อง แซงต์-มักซิแม็ง เพราะนี่คือผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดของสโมสร และสามารถเป็นตัวหลักในการสานความสำเร็จของทีมได้

 ก่อนหน้านี้ แซงต์-มักซิแม็ง มีข่าวว่าเตรียมจะอำลาต้นสังกัดในช่วงซัมเมอร์หน้า เนื่องจากมองดูแล้วว่าศักยภาพของเขาควรจะมีโอกาสได้ประสบความสำเร็จกับสโมสรใหญ่ๆ มากกว่าจมปลักอยู่กับยอดทีมแดนอีสาน

 อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงแล้ว เพราะการได้เจ้าของใหม่ระดับอภิมหาเศรษฐีนั่นหมายความว่าสโมสรมีงบประมาณในการสร้างทีมแบบไม่จำกัด และพวกเขาก็ต้องการเก็บสตาร์ชาวฝรั่งเศสเอาไว้กับทีมให้ได้

 นอกจาก แซงต์-มักซิแม็ง แล้ว ในช่วงที่เพิ่งมีการเปลี่ยนถ่ายผู้บริหาร นิวคาสเซิ่ล จำเป็นต้องเก็บนักเตะตัวหลักอย่าง มาร์ติน ดูบราฟก้า, โจ วิลล็อค, มิเกล อัลมิร่อน และ คัลลั่ม วิลสัน เอาไว้ก่อน ส่วนผู้เล่นหลายๆ คนที่ไร้พัฒนาการโดยเฉพาะพวกแนวรับสูงวัย คงจะต้องโดนกำจัดทิ้งแน่นอน 
  
- ปรับปรุงศูนย์เยาวชน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการฝึกซ้อม

  

 ความสำเร็จยั่งยืนมาจากรากฐานที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นการปั้นนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่มีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในยุคที่ แอชลี่ย์ ครอบอำนาจ เพราะเขามองว่ามันไม่มีความจำเป็น

 ก่อนหน้านี้หลายๆ คนคงรู้ว่า นิวคาสเซิ่ล เคยมีนักเตะชาวจอร์ดี้แท้ๆ ประสบความสำเร็จหลายคน อย่างเช่น อลัน เชียเรอร์, ไมเคิ่ล คาร์ริค และผู้เล่นระดับตำนานที่ได้รับการปลุกปั้นจากอะคาเดมี่ของ "สาลิกาดง" อย่าง พอล แกสคอยน์ เป็นต้น

 ฉะนั้้นการได้เจ้าของใหม่ที่แม้จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาล และพร้อมเสกความสำเร็จให้กับสโมสรได้ในช่วงเวลาไม่กี่ปี แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วนของทีมโดยเฉพาะการพัฒนาศูนย์ฝึกเยาวชนเพื่อเป็นการเฟ้นหานักเตะพรสวรรค์ในย่านไทน์ไซด์ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีม

 นอกจากนี้สิ่งอำนวจความสะดวกและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการฝึกซ้อมก็คงจะมีการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะสนามซ้อมคงจะมีความทันสมัยไม่แพ้เหล่าสโมสรบิ๊กซิกซ์ของพรีเมียร์ลีก ดีไม่ดีอาจจะอลังการที่สุดในยุโรปเลยก็ได้

- สร้างความผูกพันกับเหล่า "ทูน อาร์มี่"

  

 ตลอดช่วง 14 ปีที่ นิวคาสเซิ่ล ภายใต้การบริหารงานของ แอชลี่ย์ พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับแฟนบอล "สาลิกาดง" เลย และไม่คิดที่จะพูดคุย หรืออธิบายเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ในการกำหนดทิศทางของสโมสรแม้แต่ครั้งเดียว

 ไม่ว่าจะเรื่องความทะเยอทะยานของทีม ? แนวทางในการสร้างความสำเร็จ ? หรือแผนงานในการที่จะนำสโมสรที่จะก้าวสู่ความสำเร็จ ? สิ่งเหล่านี้ แอชลี่ย์ ไม่เคยคิดที่จะแสดงความเห็นให้กับเหล่าสาวกนิวคาสเซิ่ลเลย

 เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า แอชลี่ย์ มองว่าเหล่า "ทูน อาร์มี่" เป็นเพียงแค่ลูกค้าเท่านั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอธิบายเกี่ยวกับนโยบายของสโมสร และแน่นอนว่าความคิดแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรกับการเป็นเจ้าของทีม เพราะสโมสรฟุตบอลอยู่ได้ด้วยการมีแฟนบอลเป็นรากฐานสำคัญ

 ดังนั้นกลุ่มทุนพีไอเอฟ ต้องพร้อมที่จะเปิดเผย และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ในการเข้ามาเพื่อสร้างทีมให้แข็งแกร่ง รวมไปถึงต้องพยายามที่จะสร้างความผูกพันกับแฟนบอล เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าการมีเจ้าของใหม่จะนำไปสู่ยุครุ่งเรืองของพวกเขา

 ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะต้องพร้อมที่จะตอบคำถามในทุกๆ เรื่องที่หลายๆ คนสงสัย และไม่ควรที่จะทำตัวเมินเฉยกับสิ่งเหล่านั้น เพราะถ้าสามารถเคลียร์ทุกอย่างได้ ยิ่งทำให้แฟนบอลพร้อมทุ่มหัวใจสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่