6 ประเด็นร้อนก่อนเกม พรีเมียร์ลีก นัดที่ 16

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 11 ธ.ค. 2564 21:28:48 น. เข้าชม 229 ครั้ง

เข้าสู่ช่วงเดือนธันวาคม เกมที่พรีเมียร์ลีก มีหลายเกมให้ติดตาม โดยสุดสัปดาห์นี้เป็นแมตช์เดย์ที่ 16 แล้ว โดยแต่ละคู่จะมีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันได้เลย

    "แมนฯ ซิตี้-วูล์ฟส์"

 

   ราฮีม สเตอร์ลิง ทำประตูในศึก พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 99 ลูก(18 ประตูกับ ลิเวอร์พูล, 81 ประตูกับ แมนฯ ซิตี้) ซึ่งหากเจ้าตัวมีสกอร์เม็ดต่อไปจะทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนที่ 32 ที่ทำได้หลักร้อยลูก และหากมันเกิดขึ้นในเกมนี้ สเตอร์ลิง ก็จะเป็นแข้งคนที่ 8 ที่ทำได้ตอนอายุ 27 ปีกับอีก 3 วัน

    ท่ามกลางการเจอกันของสองทีมที่เจอกันอย่างน้อย 60 ครั้งบนลีก อังกฤษ นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1888 คู่ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ วูล์ฟส์ คือเกมที่มีค่าเฉลี่ยประตูเกิดขึ้นต่อเกมสูงสุดที่ 3.83 ลูก (437 ประตูจาก 114 นัด) เมื่อไม่นับลูกจุดโทษ วูล์ฟส์ เป็นทีมเดียวใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ที่ยังไม่สามารถทำประตูได้จากลูกเซตพีซ โดยพวกเขามีโอกาสเข้าทำจากลูกลักษณะนี้ถึง 39 ครั้ง ตรงกันข้ามกับฤดูกาลก่อนที่มีแค่ ลีดส์ ยูไนเต็ด เท่านั้น(15) ที่ทำประตูได้จากลูกนิ่งมากกว่า วูล์ฟส์ (14)

    แบร์นาร์โด้ ซิลวา ดาวเตะฟอร์มฮอตของ "เรือใบสีฟ้า" ทำไปแล้ว 6 ประตูในลีกจาก 8 เกมหลังสุด ซึ่งมากกว่าก่อนหน้านี้ 61 เกมที่เขาทำได้เสียอีก

    "อาร์เซน่อล-เซาธ์แฮมป์ตัน"

 

เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่ชนะที่บ้านของ อาร์เซน่อล ในเกม พรีเมียร์ลีก มาแล้วถึง 22 นัด (เสมอ 7 แพ้ 15) ซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุดที่ทีมทีมหนึ่งไม่ชนะที่บ้านของอีกฝ่าย

    ขณะเดียวกัน "เดอะ กันเนอร์ส" ชนะเกมลีกในบ้านตัวเองมาแล้ว 3 นัดติด โดยครั้งสุดท้ายที่สามารถชนะ 4 เกมติดได้เกิดขึ้นตอนช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม ปี 2020 นอกจากนี้ อาร์เซน่อล ชนะแบบไม่เสียประตูในบ้านมา 2 เกม ซึ่งหนล่าสุดที่ชนะได้ 3 เกมติดแถมเก็บคลีนชีตได้ทั้งหมดนั้น ต้องย้อนไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017

    ในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุด อังกฤษ มีแค่การเจอกับ ฟูแล่ม ( 27 นับตั้งแต่ปี 1949) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (27 ระหว่างปี 1976-2012) เท่านั้นที่ อาร์เซน่อล ไม่แพ้นานกว่าการเจอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน (26 นัด)

    กลับมาที่ฝั่ง "นักบุญ" พวกเขาแพ้เกมลีกนอกบ้านบนปฏิทินปี 2021 ไปแล้ว 14 นัด ซึ่งเป็นสถิติมากสุดนับตั้งแต่ที่เคยแพ้ในปีเดียว 15 เกมเมื่อปี 2004

    "เชลซี-ลีดส์"

 

ถึงแม้ เชลซี จะเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในบ้านตัวเองมาแล้ว 4 เกมติด แต่พวกเขาก็ไม่เคยชนะ "ยูงทอง" ในลีก 5 เกมติดที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เลยสักครั้ง

    ลีดส์ บุกเอาชนะทีมในกรุง ลอนดอน ได้แค่ 2 นัดจาก 32 เกมทุกรายการ (เสมอ 7 แพ้ 23) และพ่ายทีมจากเมืองหลวงมา 2 เกมจาก 3 เกมหลังที่พวกเขาออกนำได้ก่อน ซึ่งเป็นเกมที่เจอกับ "สิงห์บลูส์" เมื่อเดือนธันวาคม ปีก่อน และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน (อีกหนึ่งนัดชนะ ฟูแล่ม 2-1)

    ทั้ง เชลซี และ ลีดส์ ต่างทำประตูได้เท่ากันในช่วงนาทีที่ 90 (3 ลูก) โดยสกอร์ของ "สิงห์บลูส์" ทั้ง 3 ลูกนั้นเป็นประตูตอกย้ำชัยชนะ ส่วน "ยูงทอง" 1 ลูกเป็นประตูชัย และอีก 2 เป็นการทำประตูตีเสมอแบ่งแต้ม

    ราฟินญ่า แนวรุกพันธุ์แซมบ้าของ ลีดส์ ทำประตูไป 6 ลูกจากประตูที่ต้นสังกัดทำได้ในลีก 15 ประตูในซีซั่นนี้ โดยไม่มีผู้เล่นในทีมคนอื่น ๆ ทำประตูได้สองลูกในเกมเดียว และ 6 ประตูของ ราฟินญ่า นั้นแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนได้ถึง 7 แต้ม ซึ่งมีแค่ เจมี่ วาร์ดี้ คนเดียวที่ประตูแต่ละลูกมีค่ามากกว่า (8 แต้ม)

    "ลิเวอร์พูล-แอสตัน วิลล่า"

 

  นี่คือเกมแรกในฐานะกุนซือที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาเคยรับใช้ 710 นัดทุกรายการ(สถิติมากสุดอันดับ 3 ของสโมสร) และหากนับที่อดีตผู้เล่น "หงส์แดง" กลับมาคุมทีมเจอทีมเก่าที่ แอนฟิลด์ นั้น พวกเขากลับออกไปด้วยความพ่ายแพ้ 14 จาก 16 เกม(ชนะ 1 เสมอ 1) มีแค่ เควิน คีแกน เท่านั้นที่เคยพา แมนฯ ซิตี้ บุกมาชนะที่นี่ได้เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2003

    2 เกมหลังสุดที่ ลิเวอร์พูล เล่นในบ้านตัวเองนั้น พวกเขาคว้าชัยเหนือผู้มาเยือนด้วยสกอร์ 4-0 ทั้งสองเกม(อาร์เซน่อล, เซาธ์แฮมป์ตัน) อย่างไรก็ตาม "หงส์แดง" ไม่ชนะคู่แข่งในบ้านด้วยระยะห่าง 4 ประตู 3 นัดติดได้เลยนับตั้งแต่เดือนกันยายน/ตุลาคม ปี 1987 ซึ่งครั้งนั้นเอาชนะ ดาร์บี้ เคาน์ตี้, พอร์ทสมัธ และ ควีนส์ พาร์ค เรนเจอร์ส

    โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับประตูไม่ว่าจะยิงเองหรือแอสซิสต์ให้เพื่อนในเกมลีกมาแล้ว 13 นัดติดต่อกัน โดยล่าสุดถวายพานให้ ดิว็อค โอริกี้ ซัดประตูชัยเหนือ วูล์ฟส์ ได้ ซึ่งสถิตินี้เป็นอันดับ 2 ที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก โดยอันดับหนึ่งคือ เจมี่ วาร์ดี้ ที่มีส่วนกับประตูติดต่อกันนานถึง 15 เกม(เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม-ธันวาคม ปี 2015)

    การเจอกันของคู่นี้บนเวที พรีเมียร์ลีก มีถึง 20 นัดที่ชัยชนะเป็นของฝั่งทีมเยือน ซึ่งมีแค่การเจอกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (21) เท่านั้นที่ทีมอาคันตุกะคว้าชัยเหนือเจ้าถิ่นได้มากกว่า

    "นอริช-แมนฯ ยูไนเต็ด"

 

  ดีน สมิธ ผู้จัดการทีม นอริช เคยเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้แล้วในซีซั่นนี้ตอนที่ยังเป็นกุนซือ แอสตัน วิลล่า (1-0) เมื่อเดือนกันยายน และหากทำได้อีกครั้งจะทำให้เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกต่อจาก แอนดี้ เอทเก้น เมื่อฤดูกาล 1908/09 ที่สามารถเอาชนะ "ปีศาจแดง" ได้ 2 นัดจาก 2 ทีมที่ต่างกันได้ในเกมลีกสูงสุดฤดูกาลเดียว โดย เอทเก้น ทำได้ 5-0 กับ มิดเดิ้ลสโบรส์ และ 3-2 กับ เลสเตอร์ ซิตี้

    "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" เก็บคลีนชีตที่บ้านตัวเองในลีกได้ 2 จาก 4 เกมหลังสุด เทียบเท่ากับก่อนหน้านี้ที่ต้องใช้จำนวนเกมมากถึง 26 นัด

    มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้า "ปีศาจแดง" มีส่วนร่วมกับประตู 4 ครั้งจาก 2 เกมที่เจอกับ นอริช (3 ประตู 1 แอสซิสต์) โดยมีค่าเฉลี่ยมีส่วนร่วมทุก ๆ 37 นาที
    
    นี่คือเกมเยือนนัดแรกของ ราล์ฟ รังนิก ในฐานะกุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยที่ผ่านมา ไม่มีผู้จัดการทีมแบบเต็มตัว ยูไนเต็ด คนไหนที่ทำทีมแพ้เกมเยือนในการลงคุมนอกบ้านนัดแรก (ชนะ 3 เสมอ 1) โดยคนสุดท้ายที่แพ้คือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่บุกพ่าย อ๊อกซ์ฟอร์ด 0-2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1986

  "เลสเตอร์-นิวคาสเซิ่ล"

 

    นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด บุกเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ถึง 3 นัดจาก 4 เกมที่ออกเยือน "เดอะ ฟ็อกซ์ " หลังสุด (แพ้ 1) เทียบเท่ากับก่อนหน้านี้ที่ไม่ว่าจะบุก ฟิลเบิร์ต สตรีท หรือ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ที่ต้องใช้เวลาถึง 17 เกม(เสมอ 7 แพ้7) 

    นับตั้งแต่กลับมาเล่น พรีเมียร์ลีก อีกครั้งเมื่อปี 2014 นิวคาสเซิ่ล คือทีมที่ เลสเตอร์ เอาชนะได้มากที่สุด โดยทำได้ 8 ครั้ง

    เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้ารุ่นลายครามของ "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" มีส่วนร่วมกับประตู 25 ลูกจาก 18 เกมลีกหลังสุดที่เผชิญหน้ากับทีมที่อยู่ในโซนตกชั้น (18 ประตู 7 แอสซิสต์)

    เลสเตอร์ เป็นทีมที่ทำประตูได้จากลูกโหม่งมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ (7 ประตู) ขณะที่มีแค่ เบิร์นลี่ย์ กับ เชลซี (6) เท่านั้นที่ทำประตูได้จากลูกกลางอากาศมากกว่า นิวคาสเซิ่ล (5)