จาก ร็อบบี้ สู่ ชาร์ลี : ความฝันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ของสายเลือด ซาเวจ

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 9 ธ.ค. 2564 18:01:26 น. เข้าชม 297 ครั้ง

"ผมดีใจมากๆ ที่ได้ประเดิมสนามให้ทีมชุดใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมอยากจะขอบคุณสตาฟฟ์ในระดับอะคาเดมี่สำหรับการที่พวกเขาให้ความช่วยเหลือผมตลอดช่วง 14 ปีที่ผ่านมา รวมถึงอยากขอบคุณผู้จัดการทีมที่เชื่อมั่นในตัวผมในคืนนี้ด้วย"

    นั่นคือข้อความที่ ชาร์ลี ซาเวจ กองกลางวัย 18 ปีของ แมนฯ ยูไนเต็ด โพสต์ลง ทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิต หลังจากเขาโดนเปลี่ยนลงไปในช่วงท้ายเกมของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ "ปีศาจแดง" เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอกับ ยัง บอยส์ 1-1 เมื่อวันพุธที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยที่ ชาร์ลี ถือเป็นหนึ่งในแข้งดาวรุ่งที่เหล่าสตาฟฟ์ในทัพ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกปากชมมาพักหนึ่งแล้ว จากการที่เขาทำผลงานได้น่าประทับใจในระดับเยาวชน โดยเขาถูกยกให้เป็นมิดฟิลด์ที่มีเทคนิคดีคนหนึ่ง


    อย่างไรก็ตาม นอกจาก ชาร์ลี แล้วนั้น มันยังมีอีกคนหนึ่งที่ดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมากับการที่ ชาร์ลี ได้ลงเล่นในเกมชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เขาคือ โรเบิร์ต วิลเลี่ยม ซาเวจ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ร็อบบี้ ซาเวจ อดีตกองกลางชาวเวลส์ที่เป็นบิดาของ ชาร์ลี

    แฟนบอลรุ่นใหม่บางคนอาจจะไม่ค่อยรู้จัก ร็อบบี้ ซาเวจ มากเท่าไหร่นัก แต่คนที่เคยตามดูเกมฟุตบอลอังกฤษในช่วงทศวรรษ 1990 ไปจนถึงปี 2011 น่าจะยังพอจำ ซาเวจ ได้ จากการที่เขาถือเป็นกองกลางขาโหดชนิดที่พร้อมเข้าเสียบคู่แข่งแบบรุนแรงจนทำให้เจ้าตัวมักจะโดนใบเหลืองอยู่บ่อยๆ โดยเขาเคยเป็นเจ้าของสถิติการโดนใบเหลืองมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ด้วย จาการที่รับไป 89 ใบด้วยกัน


  

  เลสเตอร์ ซิตี้ กับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ คือ 2 สโมสรในเกาะอังกฤษที่ ซาเวจ คนพ่อ ลงเล่นให้มากที่สุด ด้วยจำนวน 204 นัดกับ 137 นัดจากทุกรายการ ตามลำดับ ตามมาด้วย แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่เขาลงเล่นไป 100 นัดในทุกรายการ นอกจากนี้ เขายังเคยเล่นให้ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ 88 นัดในทุกรายการ กับ ครูว์ อเล็กซานดร้า 87 นัดในทุกรายการด้วย ถึงกระนั้น ที่จริงแล้ว ซาเวจ เคยอยู่กับอะคาเดมี่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาก่อน และเขาก็ถือเป็นหนึ่งใน "คลาส ออฟ 92" ชุดเยาวชนอันเลื่องชื่อของ แมนฯ ยูไนเต็ด เช่นกัน นอกจากนี้ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ไม่ได้เป็นมิดฟิลด์ด้วยซ้ำ แต่เล่นเป็นกองหน้า โดยหลังจากเล่นไปสักพักแล้วเขาถึงค่อยถูกโยกมาเป็นมิดฟิลด์ ซึ่งระหว่างที่อยู่ในอะคาเดมี่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เขาสนิทกับ เดวิด เบ็คแฮม มากๆ ด้วย และ ซาเวจ ก็เหมือนกับดาวรุ่งหลายคนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนั้นที่มีความหวังว่าเขาจะก้าวขึ้นไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้

    น่าเสียดายที่ความฝันนั้นไม่เป็นจริง แม้ว่าจะอยู่ในทีมเยาวชนชุดที่ได้แชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 1992 รวมถึงได้รับสัญญาระดับอาชีพ แต่สุดท้าย ซาเวจ ผู้พ่อ ก็ไม่เคยได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด แม้แต่นัดเดียว เพราะว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่ มองว่าเขา "ไม่เก่งพอ"

    ซาเวจ เคยเปิดใจผ่านหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองว่า "ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองอาจจะยังมีโอกาสได้รับสัญญา 12 เดือน แต่ผมก็ยังรู้สึกแย่ๆ ในตอนที่เดินไปยังหองทำงานของผู้จัดการทีม คนอื่นๆ ตบหลังผมแล้วบอกผมว่าทุกอย่างจะโอเค ผมนั่งลง ผมประหม่ามากๆ ผมรู้สึกหัวใจเต้นแรง วันนั้นผมถึงขั้นน้ำลายแห้งเลยด้วย เฟอร์กูสัน นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงด้านหลังโต๊ะของเขาพร้อมกับใส่เสื้อสีแดงที่มีตัวอักษร AF อยู่บนนั้น"


 


 "เขาพูดขึ้นมาว่า -โรเบิร์ต นับตั้งแต่ที่นายมาอยู่กับทีมเนี่ยนายทำได้ดีมากๆ เลยนะ- ประโยคนั้นทำให้ผมรู้ทันทีเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ต่อมาเขาพูดว่า -นายยังไม่พร้อมสำหรับการเลนให้ที่นี่ นายจะไปได้ดีกับที่อื่น สักวันหนึ่งนายจะกลับมาเล่นงานฉันจนทำให้ฉันหลอนได้แน่นอน-"

    ปี 1994 นั่นคือตอนที่ความฝันในการได้เล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ ร็อบบี้ จบลงอย่างเป็นทางการ และแน่นอนว่าเขาทำใจยอมรับได้ยากมากๆ เมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากปากของ เฟอร์กูสัน โดยตรง

    "ผมรู้สึกเหมือนกับคนป่วยหลังจากที่คำพูดของ เฟอร์กูสัน มันตอกฝังเข้าไปในใจของผม มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับคนที่ซดเหล้าเยอะเกินไปจนนอนหมดสภาพบนเตียงแล้วมึนจนทำให้เห็นภาพว่าห้องมันเริ่มหมุนไปรอบๆ ตัวคุณจนคุณอยากจะอ้วกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่อยู่รอเพื่อที่จะร่ำลากับคนอื่นด้วยซ้ำ ที่จริงมันก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดเท่าไหร่นักที่ตอนนั้นผมตรงไปยังรถ เฟียสต้า ของผมแล้วขับรถกลับบ้านทันที ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าผมพยายามที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองยังมีสภาพดีพอที่จะขับรถได้"

    ใช่ มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ ซาเวจ ผู้พ่อ เพราะสุดท้ายวันนั้นเขาก็ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน จนทำให้มันเป็นวันที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก


 


  "ผมจำไม่ได้หรอกว่าวันนั้นใครช่วยดึงผมออกจากหน้าต่างของรถ เฟียสต้า สีขาวของผมที่คุณพ่อคุณแม่ของผมท่านซื้อให้ผมเพื่อเป็นของขวัญที่ผมสอบใบขับขี่ผ่าน แต่ผมยังจำกลิ่นควันได้จนถึงทุกวันนี้ รวมถึงยังจำสภาพอันเลวร้ายในระหว่างที่ผมนั่งรอรถพยาบาลอยู่ตรงข้างทางได้ดี"

    "ความหวัง 5 ปี และความฝันตลอดชีวิตของผมถูกทำลายย่อยยับด้วยประโยคจากกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกเพียงไม่กี่ประโยค ตอนนั้นแขนซ้ายของผมไม่รู้สึกอะไรเลย ส่วนนิ้วของผมก็หักไปแล้ว ถึงกระนั้น แม้ว่าตอนนั้นร่างกายของผมจะได้รับบาดเจ็บ แต่ความเจ็บปวดที่แท้จริงมันอยู่ที่สภาพจิตใจล้วนๆ"

    "-โรเบิร์ต ซาเวจ นักฟุตบอลอาชีพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด งั้นเหรอ โทษทีว่ะพวก ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว ไม่เก่งพอ ตอนนี้ฉันกลายเป็น โรเบิร์ต ซาเวจ ไอ้หนูที่ตกงาน แถมฉันยังเอาความภาคภูมิใจกับความสนุกทั้งหมดไปใช้กับการขับรถชนอีก อุบัติเหตุนี้ถือเป็นความผิดของฉันล้วนๆ แถมฉันยัง ทำให้คนแก่คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บด้วย- จากนั้นรถพยาบาลก็มาถึง และผมก็ต้องมองตาคุณแม่กับคุณพ่อของผมรวมถึงยอมรับกับพวกท่านว่านลูกชายของพวกท่านทำให้พวกท่านต้องผิดหวัง ผมคิดกับตัวเองว่า -อะไรที่มันจะยากกว่ากัน ? การบอกกับคุณแม่และคุณพ่อว่าฉันเอาของขวัญจากพวกท่านไปชนชาวบ้าน หรือยอมรับว่าฉันไม่ผ่านคุณสมบัติกับการเล่นให้ ยูไนเต็ด ?-"

    ถึงแม้ว่า ร็อบบี้ จะมีความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไหร่นักกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่เขาก็ไม่ได้คัดค้านกับการที่ ชาร์ลี จะไปเข้าอะคาเดมี่ของที่นั่นเมื่อช่วงกลางปี 2019 ที่จริงตอนที่ ชาร์ลี ได้รับสัญญาเป็นนักเตะอาชีพฉบับแรกเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น ร็อบบี้ ก็มาร่วมพิธีเซ็นสัญญาของลูกชายด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจด้วย


 

อย่างไรก็ตาม ร็อบบี้ ก็คงคาดไม่ถึงว่าเขาจะได้เจอกับช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา ราล์ฟ รังนิก ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ แมนฯ ยูไนเต็ด ใส่ชื่อ ชาร์ลี เป็นหนึ่งในตัวสำรองสำหรับเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดดวลกับ ยัง บอยส์ ด้วย และช่างเหมือนกับโชคชะตาเป็นใจซะเหลือเกิน เนื่องจากปัจจุบัน ร็อบบี้ ทำงานให้กับ บีที สปอร์ต สื่อชื่อดังของอังกฤษ และตอนนี้ บีที สปอร์ต ก็เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ในสหราชอาณาจักรแต่เพียงเจ้าเดียวอีก

    ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซาเวจ ผู้พ่อ ได้ไปประจำการที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เพื่อบรรยายการแข่งขันในเกมนี้ และตอนที่พิธีกรจากสถานีพูดกับเขาในช่วงก่อนเริ่มการแข่งขันนั้น มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ ร็อบบี้ จะดีใจมากๆ โดยเขาถึงขั้นเกือบร้องไห้ด้วยซ้ำ

    "ผมเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาแล้วล่ะ เจค สิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้ทำได้มัน...ชาร์ลี ซาเวจ ประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อพิจารณาถึงการที่เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มแบบนี้ ที่จริงเขาไม่เคยเป็นคนที่เก่งที่สุดของรุ่นเลยนะ แต่ความกระตือรือร้น, จริยธรรมในการทำงาน และความมุ่งมั่นของเขาทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้"


 

   "คุณพ่อของผม ซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่กับเราแล้วนั้น คงจะมองลงมายังหลานชายของเขาด้วยความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยมอยู่แน่ๆ มีหลายครั้งที่ฉันคิดว่าเขาคงเจองานยากกว่าผม เพราะด้วยความที่ผมเคยเป็นนักเตะมาก่อนน่ะมันจะทำให้คนคิดกันทันทีว่า ชาร์ลี จะต้องเหมือนกับคุณพ่อของเขา แต่ที่จริงเขาไม่เหมือนผมเลย เขาเป็นนักเตะตามแบบของตัวเอง และผมก็ดีใจมากๆ"

    "ในกรณีที่เขาไม่ได้ลงเล่นน่ะ ผมก็บอกเขาไปแล้วว่า -ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของลูก แต่ลูกก็เคยได้อยู่บนม้านั่งสำรองของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชียวนะ- ซึ่งนั่นเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่เคยได้รับ วันนี้เขาทำได้แล้ว คนที่ทำได้คือเขา ไม่ใช่ผม"

    ท้ายที่สุดแล้ว ซาเวจ ผู้พ่อ ก็ได้เจอกับเรื่องที่ดีขึ้นไปอีกเมื่อในช่วงท้ายเกมลูกชายของเขาถูกเปลี่ยนลงไปในสนาม สิ่งที่เขาไม่เคยทำได้นั้น วันนี้ลูกชายของเขาสามารถทำได้ และ ร็อบบี้ ก็ได้เป็นคนพูดในตอนที่ลูกชายของตัวเองถูกส่งลงไปแทน ฆวน มาต้า ด้วย

    "นักเตะที่กำลังจะลงไปเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชาร์ลี ซาเวจ ลงไปแทน ฆวน มาต้า ว้าว ผมไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าจะได้พูดอะไรแบบนี้ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่เป็นวันที่น่าภาคภูมิใจสำหรับลูกชายของผมอย่างแท้จริง การทำงานหนักทุกอย่างมันถือว่า...นี่เป็นวันที่ยอดเยี่ยมทั้งสำหรับผม, คุณแม่ของเขา, พี่เลี้ยงของเขา, คุณปู่คุณย่าของเขา และที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นวันที่ยอดเยี่ยมสำหรับเด็กหนุ่มที่ลงไปในสนามคนนั้น ผมภูมิใจในตัวเขามากๆ ดาร์เรน นี่เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา"

    แน่นอน นี่ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าหลังจากนี้ ชาร์ลี จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ เขายังต้องฝึกฝนอีกเยอะหากต้องการเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมชุดใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด จริงๆ

    แต่อย่างน้อยในวันนี้เขาก็ทำให้ความฝันขั้นแรกของตัวเองเป็นจริงแล้ว และมันก็ถือเป็นการทำเพื่อคุณพ่อของเขาไปในตัวได้ด้วย